[h3][/h3]การดูแลสุขภาพหัวใจไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การออกกำลังกาย แต่
อาหารการกิน ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน หนึ่งในของว่างยอดนิยมที่หลายคนหยิบมากินคือ
เมล็ดทานตะวัน และ
เมล็ดฟักทอง แล้วแบบไหนกันแน่ที่ดีกว่ากับหัวใจ? มาลองเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด
เมล็ดทานตะวัน (Sunflower Seeds) เป็นของทานเล่นที่หาซื้อง่าย แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- อุดมไปด้วย วิตามิน E ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด
- มี แมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิตและการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
- ไขมันส่วนใหญ่เป็น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
- เมล็ดทานตะวันที่ขายทั่วไปมักจะ อบเกลือ → มีโซเดียมสูง เสี่ยงทำให้ความดันขึ้น
- ควรเลือกแบบ อบไม่ใส่เกลือ หรือ อบธรรมชาติ จะดีกว่า
เมล็ดฟักทอง (Pumpkin Seeds หรือ Pepitas) เป็นอีกหนึ่งเมล็ดธัญพืชที่คนรักสุขภาพนิยม
- มี ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- อุดมด้วย แมกนีเซียม เช่นเดียวกับเมล็ดทานตะวัน ดีต่อการทำงานของหัวใจ
- มี สังกะสี (Zinc) ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและซ่อมแซมเซลล์
- มี กรดไขมันโอเมก้า-3 (ในปริมาณเล็กน้อย) ซึ่งช่วยบำรุงหัวใจและสมอง
- พลังงานค่อนข้างสูง หากกินมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักขึ้นได้
- ควรเลือกแบบไม่ปรุงรส หรืออบเองเพื่อลดการได้รับเกลือ/น้ำมันส่วนเกิน
- ถ้าเน้น ต้านอนุมูลอิสระ + บำรุงหลอดเลือด → เมล็ดทานตะวัน จะเด่นกว่า
- ถ้าเน้น ลดคอเลสเตอรอล + ได้แร่ธาตุหลากหลาย → เมล็ดฟักทอง จะได้เปรียบ
- ที่ดีที่สุดคือ กินสลับกัน วันละเล็กน้อย (ประมาณ 30 กรัม หรือ 1 กำมือ)
- เลือก แบบอบไม่ใส่เกลือ เพื่อลดโซเดียม
- เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท ป้องกันการเหม็นหืน
- ผสมกับอาหารอื่น เช่น โรยในสลัด ข้าวโอ๊ต หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร
- ควบคุมปริมาณ เพราะถึงจะมีประโยชน์แต่ก็ให้พลังงานสูง
ทั้ง
เมล็ดทานตะวัน และ
เมล็ดฟักทอง ต่างก็มีประโยชน์ต่อหัวใจในแบบของตัวเอง
- ทานตะวัน → เน้นวิตามิน E และไขมันดี
- ฟักทอง → เน้นไฟโตสเตอรอลและแร่ธาตุ

ถ้าอยากได้ประโยชน์ครบถ้วน แนะนำให้กินสลับกันในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและสุขภาพดีในระยะยาว